ค้นพบ
- 2 ส.ค. 2565
- ยาว 2 นาที
ประสบการณ์ภาวนา คุณแพรววไล

คอร์สปฏิบัติ 3-10 กรกฎาคม 2565 ถือเป็นคอร์สที่มีความพิเศษ เนื่องจากได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล ขึ้นเทศน์สอนเช้าค่ำ อีกทั้งมีคุณแม่ชีจากสถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ จำนวน 5 ท่านมาร่วมปฏิบัติภาวนา พระครูสุทธิชยาภรณ์ และอาจารย์โสภิต เป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอน
“เลี้ยงเป็ด”
ข้าพเจ้านางแพรววไล อายุ 57ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมคควอรี่ ประเทศออสเตรเลียมีประสบการณ์ทำงานด้านการเงินการธนาคาร และสินเชื่อ ได้เป็นศิษย์ในสายธรรมเตโชวิปัสสนากรรมฐานเมื่อปี 2560 ปัจจุบันประกอบธุรกิจครอบครัว ด้านอัญมณีและเครื่องประดับ
ได้กลับมาเข้าคอร์สหลังจากห่างหายไปร่วมปี ในวันแรกและวันที่สองของการภาวนา จิตยังคงวนเวียนอยู่กับทางบ้าน หลวงพ่อสัญชัย จิตตภโลเมตตาเล่านิทานเรื่อง "เลี้ยงเป็ดให้เป็น" เป็นเช่นไร? ท่านเมตตาเทศน์ว่า เมื่อเราทำทุกอย่างที่ดีที่สุด สร้างโรงเลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำให้วิตามินอย่างดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร? เป็ดจะออกไข่หรือไม่? เราต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตารอว่า เป็ดจะออกไข่หรือไม่? เมื่อใด? เมื่อเมตตาอย่างยิ่ง กรุณาอย่างยิ่ง มุทิตาอย่างยิ่ง แล้ววางอุเบกขาอย่างยิ่ง จิตจะปล่อยวาง คลายความยึดมั่นถือมั่น จิตจะไม่ทุกข์เลย เมื่อจิตได้ฟังเทศน์เรื่องนี้จบ พลันน้ำตาของข้าพเจ้าไหลอาบหน้า จิตรู้สึกเบา สบาย และโล่งใจ เป็นอย่างยิ่ง
“เรารักพระเทวทัตเสมอด้วยราหุล”
-พระพุทธเจ้า-
เมื่อได้ยินคำนี้ครั้งแรก ข้าพเจ้ารู้สึกในเมตตาอันไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้าที่นำไปสู่ความเข้าใจว่า แม้คนที่เราไม่ชอบ หากเรายอมรับเขาได้ ให้ได้เหมือนกับคนที่เราชอบนั้น ย่อมนำความสุขมาสู่ตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง คือการยอมรับได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของคนคนนั้นนั่นเอง
ในวันที่สอง เมื่อมีสติตั้งมั่นได้ดีมากกว่าทุกครั้ง จิตเกิดความเข้าใจปมของลูก และเข้าใจวิธีปลดปมนั้นได้ จิตผุดขึ้นว่า พฤติกรรมในวัยเด็กของลูกที่ไม่น่ารัก เมื่อต้องการสอนลูกว่า พฤติกรรมนี้ไม่ควรทำ ข้าพเจ้าใช้วิธีเมินหน้าหนีและบอกกับลูกว่า "ถ้าลูกทำตัวไม่น่ารัก แม่จะไม่มอง"
การที่เราเมินหน้าหนีลูกถือเป็นการปฏิเสธ ทำให้เขาเติบโตมาอย่างขาดความเชื่อมั่น แล้วกลายเป็นคนที่ต้องสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) เท่านั้น ต้องเป็นคนดีอย่างเดียวเท่านั้น ลูกไม่เป็นตัวของตัวเอง ถือเป็นการสร้างความเครียดให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญที่สุด คือตัวข้าพเจ้าเองเพิ่งเข้าใจว่าตนเองก็เติบโตมาด้วยแนวคิดนี้เช่นกัน
เมื่อกลับจากคอร์ส ข้าพเจ้าจึงบอกกับลูกว่า "แม่อนุญาตและยอมรับทุกอย่างที่เป็นลูกครับ"
"ทั้งพฤติกรรมที่น่ารักและไม่น่ารัก แม่เข้าใจแล้วครับว่าทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ มีมืดก็มีสว่าง มีขาวก็มีดำ จึงจะสมดุล" ลูกชายวัยหนุ่มน้อยยิ้มกว้าง และรู้สึกขอบคุณข้าพเจ้า แม่ได้ให้อิสระ และการยอมรับ (Acceptance) ลูกในแบบที่เขาเป็นเพราะนอกจากคำว่า “รัก” แล้ว คำว่า “ยอมรับลูกในแบบที่ลูกเป็น” เป็นคำที่ทำให้จิตใจทั้งแม่และลูกรู้สึกถึงความโปร่ง โล่ง เบาสบายหายใจได้ทั่วท้อง หายใจได้อย่างเต็มที่
“การภาวนาทำให้จิตเปลี่ยน”
เมื่อได้รับกรรมฐานแล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจจะปิดอายตนะทั้ง 6 เตรียมพร้อมที่จะนำฉากมากางกั้นผู้อื่น โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ต่อเมื่อภาวนาจึงเข้าใจว่า นั่นเป็นการภาวนาที่ผิดทาง ภาวนาเพื่อเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีจิตใจ การปฏิบัติภาวนาแท้จริงเพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเมตตาและอ่อนโยนขึ้นต่างหาก จึงจะถูกทาง
“กลัวครู ไม่ใช่กลัวงู”
ในช่วงการสอบอารมณ์ ข้าพเจ้าได้รายงานถึงสภาวะจิตตื่นทำให้นอนไม่หลับและไม่กล้าแม้จะพลิกตัวหันหลังไปด้านนอก เกิดการนอนเกร็งร่างกาย และกังวล กลัวเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ท่านอาจารย์เมตตาถามว่า มีสภาวะอื่นใดอีกหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า มีภาพคุณครูภาษาไทยที่หน้าตาดุเหมือนยักษ์ ถือไม้เรียวเป็นไม้ท่อนใหญ่ และข้าพเจ้าถูกตีเพราะท่องบทอะไรสักอย่างไม่ได้ ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า จัดเป็นการดึงสภาวะความกลัว ทำให้กลัวไปหมดทุกอย่าง ข้าพเจ้าจึงตระหนักรู้แล้วว่า ที่แท้เราไม่ได้กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก หรืองูเลย เรายังไม่เคยเห็นตัวมันเลยด้วยซ้ำ ได้ยินแต่เสียง ที่จริงแล้ว “เรากลัวครูต่างหาก ไม่ได้กลัวงู”
เมื่อภาวนาแล้วจึงเกิดความสำนึกและน้อมจิตขอขมาต่อคุณครูภาษาไทย บัดนี้ลูกศิษย์ผู้นี้มีความรู้ความสามารถภาษาไทยแตกฉาน ก็เพราะคุณครูสอนสั่งและเข้มงวดนั่นเอง
“จิตกตัญญู เท่ากับ จิตนิพพาน”
หลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล เมตตาเทศน์สอนเรื่อง จิตกตัญญู คือ จิตนิพพาน เมื่อจิตมีความหยาบกระด้าง มีทิฐิมานะ อิจฉาริษยา ให้หันกลับมาคอยเตือนตนให้สำนึก “รู้คุณท่าน” พ่อแม่เหมือนครูคนแรก พี่สาว พี่ชายคนโตเสมือนพ่อแม่คนที่สอง คุณครูที่สอนตั้งแต่ประถม และส่งต่อมาจนเราประสบความสำเร็จทุกวันนี้ให้ระลึกถึง รู้คุณท่าน การไม่ยกตนข่มท่าน การไม่ไปตีตนเสมอท่านถือเป็นการลดอัตตาตัวเอง จัดว่าละมานะ สังโยชน์ข้อ 8 ได้ การไม่นำทุกข์ทับถมจิตใจ จัดเป็นข้ออุทธัจจะ การละสังโยชน์ข้อที่ 9 นำไปสู่การละสังโยชน์ข้อที่ 10 คือ อวิชชา ได้ในที่สุด
“ติดดี”
ข้าพเจ้าลงชื่อเป็นจิตอาสาทำความสะอาดห้องน้ำหอปฏิบัติในช่วงปฐมนิเทศ ผู้จัดการคอร์สได้แจ้งไว้แล้วว่า เวลาทำงานอาสาทั้งช่วงเช้าและเย็น ต้องยุติลงทันที 30 นาทีก่อนขึ้นปฏิบัติ ซึ่งในวันแรกข้าพเจ้ายังคงทำหน้าที่เกินเวลามา 5 นาทีเพื่อทำให้เสร็จกิจจนห้องสุดท้าย มีความอยากให้ห้องน้ำสะอาดทุกห้อง เพื่อผู้ปฏิบัติจักได้ใช้ห้องน้ำที่สะอาด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จิตก็ขึ้นมาสอนว่า นี่แหละที่เรียกว่า “ติดดี” ไม่สามารถละวางหน้าที่ได้ ตามเวลาที่กำหนด ในวันถัดๆ มาจึงทำความสะอาดจนถึงเวลาที่กำหนด ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า”
หลวงพ่อสัญชัย จิตตภโล เมตตาเทศน์ในค่ำคืนหนึ่งว่า เราเกิดมาเป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทุกคนหนีกฎแห่งกรรมไปไม่ได้เลยสักคนเดียว แต่ "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" "เหนือกฎแห่งกรรม ยังมีวิปัสสนา" ช่างเป็นคำพูดมหัศจรรย์ ไม่เคยได้ยินที่ใดมาก่อน เกิดเป็นขวัญกำลังใจในการมุ่งมั่นปฏิบัติภาวนายิ่งๆ ขึ้น
“ถอดสมมติ”
ท่านอาจารย์เมตตานำการภาวนาก่อนการภาวนาว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นหญิง เป็นชาย ฆราวาสหรือบรรพชิต จะสูงวัยหรือหนุ่มสาวให้ถอดสมมติออกเหลือเพียงดวงจิตมีสติตั้งมั่น ในการภาวนา ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า หากทุกคนมีเพียงจิต เราทุกคนเป็นเพื่อนร่วม เกิด แก่เจ็บ ตายเหมือนกันหมด สิ่งต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่างแท้จริงเป็นเพียงเปลือกเท่านั้น
“ภาวนาคือหน้าที่”
ระหว่างรับประทานอาหารเวลาเพล สายตาไปเห็นป้ายที่ติดไว้หน้าเรือนอาหาร ภาวนา คือ หน้าที่
จากเดิมเข้าใจว่า คือการภาวนาที่เรากำหนดขึ้นมา ตั้งเป็นสัจจะแล้วปฏิบัติตามนั้น
และแล้วข้าพเจ้าบังเกิดความเข้าใจใหม่ขึ้น นั่นคือ หน้าที่สำคัญที่สุดของข้าพเจ้าในภพชาตินี้
.. คือ ภาวนาเพื่อพาจิตเดิมกลับบ้าน
.. คือ การมีสติรู้ชัดทุกวินาที ไม่เฉพาะในชั่วโมงปฏิบัติ ไม่เฉพาะบนอาสนะเท่านั้น
.. คือ การใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้มีสติรู้ชัดทุกอิริยาบถ ตื่นรู้ทุกวินาที ในทุกลมหายใจนั่นเอง
“ตำราพิชัยยุทธ”
พระครูสุทธิชยาภรณ์ พระอาจารย์ผู้ช่วยสอน ได้เมตตาสอนว่า ตำราพิชัยยุทธในการภาวนาเตโชวิปัสสนา รวมเป็นคำคำเดียวว่า “แน่น” การภาวนาที่รวมกายและจิตเป็นหนึ่งเดียว แนบแน่นเป็นจิตนักรบ กล้าหาญ สง่างาม องอาจ ไม่หวั่นไหว เป็นการตอกย้ำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในการปฏิบัติเตโชวิปัสสนาได้อย่างดียิ่งขึ้น
“STILL”
ข้าพเจ้านำขวดน้ำดื่มยี่ห้อจากต่างประเทศไว้ใช้ที่ธรรมสถานด้วย ในระหว่างเวลาพักดื่มน้ำ เห็นคำว่า “Still” ที่ฝาขวด ข้าพเจ้าแปลความหมายคำนั้นว่า “นิ่ง” อ้อ เราจักต้องภาวนาให้ “นิ่ง” เมื่อลงมาภาวนาที่เรือนโพธิ์นั้น ข้าพเจ้าภาวนาด้วยจิตนักรบให้นิ่งแต่ยังไม่เข้าใจ “นิ่ง” จนกระทั่งลืมตามาเห็นแม่ชีทั้ง 5 ท่านที่ภาวนาแบบนิ่ง จึงนึกถึงคำว่า Power of being Still แต่เหมือนยังไม่ใช่ความหมายที่แท้จริง จนกระทั่งได้เหลือบเห็นเทือกเขาหินปูนที่กำลังแสดงธรรมให้ดูอยู่ตลอดเวลา โดยข้าพเจ้าไม่เคยมองเห็นเลย ภูเขากำลังแสดงความหนักแน่นมั่นคงแข็งแกร่งและเสถียรนี่เอง Power of being Still คือ “ให้มีความเสถียร” นี่เอง
ในวันแบ่งบุญ ข้าพเจ้าภาวนา 15 นาทีก่อนเวลาเพล เกิดเวทนาอย่างมาก เมื่อระฆังดังขึ้น จิตข้าพเจ้าบอกเลยว่า ปุถุชนกับอริยชนต่างกันตรงการวางอุเบกขา โดยหลวงพ่อสัญชัย ได้เมตตาเทศน์สอนยามค่ำว่า จิตพระอรหันต์ คือจิตที่วางอุเบกขาสมบูรณ์
แจ่มแจ้งจริงหนอ
ขอน้อมกราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม คุณพระศรีรัตนตรัย และพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกภพทุกสมัย พระอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และน้อมสำนึกในเมตตาอันไม่มีประมาณของท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล




ความคิดเห็น