top of page

ดับไฟริษยา

  • 5 มี.ค. 2565
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 9 มี.ค. 2565




ริษยา แปลความตามพจนานุกรมหมายถึง ความรู้สึกที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ทนไม่ได้ที่คนอื่นได้ดี

ร้อนรุ่มใจเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า

ความริษยาเป็นการปรุงแต่งที่มีลักษณะนํ้านิ่งไหลลึก คือดูเผิน ๆ เหมือนเป็นความรู้สึกที่สามารถควบคุมได้ แต่จริง ๆ แล้วมีแรงผลักดันให้ก่อกรรมสูงมาก เปรียบได้ดังคลื่นใต้นํ้า สำหรับพระพุทธศาสนา ไม่มีแรงริษยาของผู้ใดที่จะรุนแรงและโด่งดังไปกว่าพลังริษยาของพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า

พระเทวทัตมีจิตริษยาต่อพระพุทธองค์ที่ทรงเป็นที่ศรัทธาของกษัตริย์ เสนาบดี และ มหาชนทุกชนชั้น ความริษยาทำให้คิดอยากตั้งตัวเป็นใหญ่ โดยหลงว่าการที่ตนมีอภิญญาสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ ก็น่าจะมีบารมีเท่าพระพุทธเจ้า จนนำไปสู่การดึงพระสาวกรูปอื่น ๆ ให้ไปติดตามตนแทนที่จะติดตามพระพุทธเจ้า และด้วยแรงริษยาอันพลุ่งพล่าน พระเทวทัตก็คิดว่า ตราบใดที่พระพุทธเจ้า

ซึ่งเป็นพระบรมครูของตนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ความปรารถนาที่จะเป็นใหญ่ของตนย่อมไม่สมหวัง

จึงคิดร้ายถึงขนาดลอบปลงพระชนม์

หากพระเทวทัตจะสังเกตตนเองสักนิดว่า คุณธรรมสำคัญของความเป็นมนุษย์ คือความกตัญญูต่อพระองค์ผู้ทรงพระคุณ ผู้สอนสั่งวิชาให้นั้นหายไป และจิตที่มีแต่ความรุ่มร้อน ชิงดีชิงเด่น จิตเช่นนี้จะเป็นจิตของผู้บำเพ็ญสมณธรรมให้พ้นจากราคะโทสะได้อย่างไร หากสังเกตตนเองสักนิด คงไม่ต้องประสบกรรมเช่นนี้ เมื่อปล่อยให้พลังความริษยาถาโถมและแสดงออกจนไม่เหลืออะไรจะเผยอีกต่อไป เพราะถึงขั้นคิดปลงพระชนม์แล้ว พระเทวทัตก็ตื่นจากพลังริษยา

แต่เป็นการตื่นที่สายเกินไป เพราะผลกรรมที่หนักหนาสาหัสทำให้พระเทวทัตถูกธรณีสูบลงสู่มหานรกอเวจี แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นภัยจากไฟแค้นและไฟริษยา ข้าพเจ้าขอให้หลักการเบื้องต้น ดังนี้




1. การสังเกตจิตตนว่ามีความรู้สึกนี้อยู่ในจิตมากน้อยเพียงใด หากมีให้ยอมรับ อย่าปฏิเสธ โดยไม่ต้องบอกความรู้สึกนี้ให้ผู้อื่นทราบ แค่ยอมรับอยู่ในใจ เพียงการยอมรับ คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การแก้ไข


2. เมื่อความริษยาหรือความโกรธแค้นผุดขึ้นในจิตอย่างต่อเนื่อง ให้มีสติแล้วสอนจิตว่า “ความริษยา (ความแค้น) นี้ ไม่พึงมีในเรา” อย่าเติมไฟแห่งความแค้นหรือความริษยา ให้มีสติจดจ่อกับการทำกิจการงานใด ๆ ของตนต่อไป ไม่ไปสนใจกับอารมณ์การปรุงแต่งนั้น เมื่อไม่ไปเพิ่มนํ้าหนักให้ ความรู้สึกนั้นจะอ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ ด้วยกำลังของสติ ที่ทำหน้าที่เหมือนกรรไกรบั่นความคิดที่เป็นอกุศล


3. ต้องชำระความเศร้าหมองของจิต โดยเริ่มจากการสวดมนต์ในบทที่มีพลังในการปราบปรามกิเลส คือ พระคาถาชินบัญชร ยิ่งไม่อยากสวดยิ่งต้องสวด การสวดมนต์เมื่อรู้สึกว่า ความรู้สึกนี้รุนแรง ควรสวดให้ได้ 7–9 จบในคราเดียวในช่วงนั้น ๆ เพื่อพึ่งพุทธมนต์หรือพุทธบารมีให้กิเลสนั้นอ่อนแรงลง และควรตั้งใจที่จะพัฒนาตนไปสู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะหลักการของวิปัสสนามีพลังในการขุดรากถอนโคนจิตที่เป็นพิษ หรือเรียกว่า อาสวกิเลสเครื่องดองสันดาน ตราบใดที่จิตนี้ยังคงอยู่ในก้นบึ้ง จิตริษยาอาฆาตสามารถเติบใหญ่ และเป็นภัยแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ . ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้น คือผู้ที่เกิดมาด้วยอานุภาพแห่งบุญและบาปควบคู่กัน จะมีแต่บุญก็หาไม่ จะมีแต่บาปอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ดังนั้น เมื่อตระหนักว่าในดวงจิตนี้สะสมความเศร้าหมองมาเนิ่นนาน จึงควรให้ความสำคัญกับการชำระความเศร้าหมองที่ปรากฏแก่จิต หากมัวแต่ให้ความสำคัญแต่ความสำเร็จทางโลก ไม่เฉลียวใจว่าตนนั้นสะสมพิษในจิตที่รอเวลาแผลงฤทธิ์ เมื่อนั้นก็อาจจะสายเกินไป การรู้ตัว ยอมรับและตั้งใจแก้ไข คือทางรอดและทางเจริญ


อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล


คัดบางส่วนจากนิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 39 (ล่าสุด) “Overcoming Jealousy” (EN: https://bit.ly/5000s-overcome-jealousy)

Comments


bottom of page