top of page

หากไม่มีท่านอาจารย์ ก็ไม่มีศิษย์ในวันนี้

  • 25 ม.ค. 2564
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 15 ก.ค. 2565

ประสบการณ์ธรรมคุณวาสนา


ข้าพเจ้าชื่อ วาสนา อายุ 41 ปี เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด มีพี่น้องสองคน โดยข้าพเจ้าเป็นลูกคนโต คุณแม่นับถือศาสนาพุทธซึ่งต่างจากคุณพ่อ ปัจจุบันข้าพเจ้าประกอบธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างประเทศ ได้เป็นศิษย์เตโชวิปัสสนากรรมฐานมาเป็นเวลา 4 ปีกว่า มีศรัทธาและสนใจการปฏิบัติในสายธรรมนี้ จากการอ่านหนังสือ “ฆราวาสบรรลุธรรม” และมีโอกาสได้เข้าคอร์สครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2559 คอร์สแรกที่ข้าพเจ้าได้เข้าปฏิบัติ ได้พบปัจจัตตังหลายอย่าง ทั้งเห็นพระพุทธรูปสีทองเรียงรายในจิต เห็นพระอาจารย์ใหญ่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้เห็นกิเลสหอบหิ้วพากันหนีออกจากบ้านที่ไฟโหมกระหน่ำ จึงเกิดความศรัทธาและเคารพในท่านอาจารย์และสายธรรมอย่างมากมาย และข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำงานจิตอาสาในหลาย ๆ กิจ เพราะท่านอาจารย์สอนให้เราทำตนเป็นบ่อเกิดแห่งความดีงาม จากผู้ที่เคยตระเวนทำบุญโดยที่ใจไม่ได้น้อมในความดีงามอย่างแท้จริงแต่ทำเพราะหวังผล ก็ได้เปลี่ยนแปลงตนเองมาเป็นผู้สร้างความดีงามเพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ครูอาจารย์และส่งเสริมความดีงามของผู้อื่น เพราะเมื่อเรามีวาสนาได้มาพบธรรมอันเอกอุแล้ว ควรทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่วยงานพ่อแม่ครูอาจารย์และพระพุทธศาสนาให้สมกับโอกาสที่ตนเองได้รับ

ข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอว่า นี่คือไฟต์บังคับ It’s now or never ไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน โอกาสมิได้อยู่กับเราตลอดไป แต่ถึงกระนั้น ในช่วงการเป็นศิษย์ 1-2 ปีแรก ข้าพเจ้าทุ่มเทกับงานอาสามากมายเพื่อทดแทนการเข้าคอร์ส เพราะคิดเอาเองว่าการมีโอกาสได้เข้าคอร์สนั้นยาก จึงทำงานอาสาเป็นหลัก ภาวนาเป็นรอง ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะธรรมคำสอนของท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ “ภาวนาเป็นหน้าที่” ข้าพเจ้าจึงห่างเหินจากการเข้าคอร์สเป็นปี มาตาสว่างหันมาเพียรภาวนามากยิ่งขึ้น ก็ใน 2-3 ปี ให้หลังนี้เอง เมื่อตอนที่ คุณดารณี ได้จัดตั้งกลุ่ม “ตั้งสัจจะภาวนา” ขึ้นมา ทำให้ข้าพเจ้าได้มีกัลยาณมิตรเพื่อนร่วมเพียรภาวนาอย่างมีวินัยมากมายหลายท่าน

และในปี 2563 นี้ ถือเป็นโอกาสทองของข้าพเจ้าในทางธรรม ท่ามกลางวิกฤติของโลก เพราะทำให้ได้เห็นความไม่เที่ยงและโทษภัยในสังสารวัฏมากยิ่งขึ้น จึงพยายามสมัครเข้าคอร์สในทุกโอกาสที่มี โดยมีคู่ชีวิตและกัลยาณมิตรคอยสนับสนุน ในปีนี้จึงได้เข้าคอร์สเตโชวิปัสสนากรรมฐานหลายคอร์ส รวมถึงการเป็นธรรมบริกร เมื่อได้มาเข้าคอร์สบ่อยขึ้น ก็ได้เห็นข้อบกพร่องและสิ่งที่ต้องแก้ไขในตนเองหลายอย่าง รวมถึงโอกาสที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ที่ได้ฟังธรรมบรรยายและคำสอนจากท่านอาจารย์มากมายหลายประการ ที่ล้วนแล้วแต่ยังจิตให้เกิดปัญญา หาฟังได้ยากยิ่ง


และคอร์สที่เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าตลอดกาล ก็มาถึง คือคอร์สศิษย์ใหม่ระหว่างวันที่ 5-11 ตุลาคม 2563 ข้าพเจ้าเตรียมกายและจิตไปเข้าคอร์สด้วยความตั้งมั่น และนึกถึงคำสอนของหลวงพี่อมร คุณวุฑโฒ ที่เคยได้เมตตากล่าวว่า “เมื่อเรามาเข้าคอร์สให้คิดแต่เพียงว่า เรามาทำหน้าที่ อย่าคิดว่ามาแล้วจะได้อะไร” ข้าพเจ้าจึงมาทำหน้าที่ของตน และตั้งใจปฏิบัติเพื่อน้อมอุทิศบุญกุศลแด่ท่านอาจารย์เพื่อเป็นอาจาริยบูชา คิดว่าเมื่อเรามีโอกาสได้มาเข้าคอร์สบ่อย แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติให้ดี ก็น่าละอายใจและจะเปลืองพลังพ่อแม่ครูอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงสังวรตนอย่างยิ่ง คู่ชีวิตก็ได้บอกกับข้าพเจ้าว่าให้มีความมั่นใจ Confidence โดยเตือนด้วยคำสอนของท่านอาจารย์ว่า “จุดกำหนดไม่ได้หายไปไหน ที่หายไปคือสติสัมปชัญญะ” และในคอร์สนี้นอกจากข้าพเจ้าจะเพียรยังจิตให้ตั้งมั่นเยี่ยงทหารที่พร้อมรบ และเพียรฝึกสติสัมปชัญญะรู้ให้ชัดอยู่ตลอด ท่านอาจารย์ได้เมตตาสอนย้ำว่า สติสัมปชัญญะคือแขนขาของจิต ที่จะช่วยปกป้องเราจากกิเลส ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่า เราจะปล่อยปละละเลย รู้ไม่ชัดเหมือนที่เคย ๆ เป็นมิได้แล้ว เพราะนั่นเท่ากับเราทำตนง่อยเปลี้ยเสียแขนขา ตกเป็นทาสให้กิเลสคอยบงการอยู่ร่ำไป ในคอร์สนี้จึงเป็นศึก “รู้ให้ชัด” ของข้าพเจ้า เพราะเมื่อไหร่ที่เผลอสติ ก็มักเกิดความรู้ไม่ชัดทันที

ในวันที่ 3 ของการปฏิบัติ จิตของข้าพเจ้าเหมือนโดนคลื่นแทรกไม่ให้ตั้งอยู่ในจุดที่กำหนด จึงได้กราบเรียนท่านอาจารย์ตอนสอบอารมณ์ ท่านเมตตาบอกว่า “ผ่านด่านนี้ไปให้ได้นะคะ” ข้าพเจ้าจึงตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุด และในวันที่ 4 ของการปฏิบัติภาวนาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ข้าพเจ้าเห็นความคมชัดของสติ เป็นสติที่มีกำลังมาก กลายเป็นสว่านที่คมและมีพลังขุดเจาะสังขารได้มากมายมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง และยกกำลังการขุดเจาะแบบคูณ 10 คูณ 100 นานเป็นสิบ ๆ นาที ได้เห็นการขุดเจาะที่ไปต้นตอของกองสังขารที่สะสมในจิตมากมาย หลังการปฏิบัติรอบนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเกิดใหม่ จิตใจโล่ง โปร่ง เบา รู้สึกสว่าง และเย็นวาบที่กลางศีรษะ

ในการภาวนาต่อมา ข้าพเจ้าเห็นการไม่ดิ้นรนของจิต แม้เวทนาจะแรงกล้า ก็เกิดการแยกส่วนกันอย่างชัดเจน เพราะได้สอนจิตตนอย่างมีพลัง ตามคำสอนของท่านอาจารย์เมื่อมีเวทนาว่า “ความเจ็บปวดนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา” ข้าพเจ้ารู้สึกมีความร้อนระอุอยู่ในกายตลอดเวลา จนเปรียบเทียบเอาเองว่า ร้อนจนเครื่องในจะสุก เมื่อเช็กลมหายใจก็ไม่ร้อนมากแต่ภายในร้อนกว่า ดังถ่านหินที่คุกรุ่นภายใน หลังจากนั้น ได้ฟังท่านสอนว่า อานุภาพความร้อนของเตโชธาตุนั้น มหัศจรรย์มาก ๆ

ท่านอาจารย์ได้สอนถึงความหมายที่แท้จริงของอุเบกขาธรรม คือ จิตที่หนักแน่น มั่นคง ดั่งภูผา คำสอนนี้แจ้งเข้าไปที่จิตของข้าพเจ้า และท่านได้เมตตาสอนถึงการภาวนาให้มีฐานที่แน่น ต้องประกอบด้วย 3 สิ่งคือ “พลังของสติ สมาธิ และอุเบกขา” การฟังธรรมคำสอนของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ธรรมบรรยาย คำสอน และเสียงของท่านอาจารย์ กระแทกจิตและก้องกังวานเข้าไปในจิตแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ชัดแบบเป็นเหมือนพลังที่กะเทาะเปลือกต่าง ๆ ที่ห่อหุ้มจิตออกไป

ในเช้าวันที่ 5 ของการปฏิบัติ ท่านอาจารย์เมตตาเรียกข้าพเจ้าสอบอารมณ์ในช่วงเช้า และได้ถามว่า “มาปฏิบัติในครั้งนี้ได้อะไรบ้างคะ” ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์ไปว่า ศิษย์ได้เห็นอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของเตโชธาตุว่า มีกำลังเผาผลาญกิเลสได้มากมายเพียงใด และได้เห็นแจ้งตามธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาสอนสั่งเสมอว่า “ธรรมแท้ต้องแลกมาด้วยชีวิต ต้องปฏิบัติแบบยอมตายจริง ๆ ค่ะ” ข้าพเจ้ากล่าวคำนี้ด้วยจิตที่มีพลังแบบไม่เคยเป็นมาก่อน และรู้สึกถึงจิตของตนที่พุ่งสูงขึ้นไป แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวยินดีในความก้าวหน้าของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเดินลงจากหอปฏิบัติไปเรือนโพธิ์ ด้วยจิตที่วางเฉย เฉยแบบรู้สึกฉงนในใจตน จนต้องถามตนเองว่า ทำไมจิตถึงวางเฉยได้ขนาดนี้ พลันก็รับรู้ถึงอัตตาที่แทรกเข้ามาแบบบางเบา แต่ทำให้ตัวและจิตค่อย ๆ ลำพองตนและคิดว่า “ไม่ต้องภาวนามากนักก็ได้” จิตฝ่ายดีของข้าพเจ้าสวนกลับทันทีว่า “แทนที่คิดจะหาประโยชน์ใส่ตน ควรคิดสิว่า เมื่อปฏิบัติธรรมจนมีความก้าวหน้าแล้ว เราจะพึงรักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ และยังจิตให้สว่างยิ่ง ๆ ขึ้นไป จิตที่ถึงธรรมได้เช่นนี้ ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบรมศาสดา พระอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล พลังพ่อแม่ครูบาอาจารย์เกื้อหนุน เสียสละทุ่มเทสอนสั่ง เพื่อให้เราได้ข้ามพ้นห้วงมหรรณพที่หาจุดเริ่มต้นและจุดจบไม่เจอ หากมิได้มีวาสนา มาพบท่านอาจารย์และสายธรรม อาจจะต้องหลงผิดและเสียเวลาอีกสักเท่าไหร่ พระคุณอันหาประมาณมิได้นี้ ตอบแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมด”

ข้าพเจ้าขอน้อมรักษาจิตกตัญญูให้แนบแน่นในหัวจิตหัวใจ และบอกกับตนเองว่า มิมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะทำเพื่อท่านอาจารย์มิได้อีก ในค่ำวันศุกร์ที่มีการภาวนาหน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรมศาสดา ข้าพเจ้าตั้งจิตขอภาวนาแบบมอบกายถวายชีวิต ให้สมกับพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบรมศาสดา ที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานนับ 4 อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป เพื่อค้นพบทางแห่งการหลุดพ้น นำพาเหล่าเวไนยสัตว์พ้นทุกข์ พ้นภัยในสังสารวัฏ ในการภาวนาชั่วโมงนี้ พลังแห่งธาตุไฟเตโชได้ทวีความร้อนและทวีพลังในการทำลายกองสังขารมากมาย ข้าพเจ้าเห็นไฟป่าและควันจากการเผาไหม้ มีคำสอนของท่านอาจารย์ผุดขึ้นในจิตว่า “ไฟมาป่าหมด” ท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่เรามีความก้าวหน้าช้านั้นดีแล้ว ฐานจะได้แน่น และได้เห็นคุณค่ามากขึ้นว่า กว่าจิตจะถึงธรรมได้นั้น ยากขนาดไหน ข้าพเจ้าก็ได้เห็นตามนั้นจริง ๆ

การภาวนาใน 2-3 คอร์ส ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าได้เห็นภาพกองทัพมากมายในจิตหลากหลายรูปแบบ มีทั้งแบบกองทัพในชุดนักรบจีน ยกทัพอาวุธครบมือ จะมาถล่มข้าพเจ้า และเห็นถ้ำมืด ๆ ที่เหล่าสัตว์ประหลาด ฝังแฝง แอบซ่อนตัวกันอยู่ และเห็นผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในกองบัญชาการค่อย ๆ หมุนเก้าอี้หันมาทางข้าพเจ้า พร้อมกล่าวว่า “เจ้าจะมาสวามิภักดิ์กับเราไหม” ข้าพเจ้ากล่าวออกไปด้วยจิตที่หนักแน่นว่า “ไม่” นอกนั้นยังมีอีกหลาย ๆ ปรากฏการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เห็นในมิติทางจิต ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่สุดท้ายกองทัพและสิ่งที่ปรากฏเหล่านั้น ก็โดนเผาผลาญและสลายหายไปด้วยอานุภาพของพลังเตโชธาตุและพลังอุเบกขาอันหนักแน่นมั่นคง

ในคอร์สก่อน ๆ บางคราว ข้าพเจ้าก็เกิดอาการขี้แพ้ ท้อแท้ เมื่อภาวนาไม่ได้ บางครั้งถึงกับเดินไป คิดสิ้นหวังไปว่า “เรานี้เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มาตั้ง 4 ปีแล้ว ยังปฏิบัติไม่ถึงไหน ช่างไม่เอาไหนจริง ๆ นะเรา” เดินไป คิดไป ท้อแท้ไป ความร่ำไรรำพันตามมาเป็นขบวน พอช่วงบ่าย ท่านอาจารย์เมตตาสอน ใจความประมาณว่า บางคนคิดว่าตนเองเป็นศิษย์มานานแล้ว แต่ทำไมไม่ถึงไหนเสียที อย่าคิดแต่เข้าข้างตนเอง อย่านับเวลาเป็นปี ๆ ที่เป็นศิษย์มา แต่ควรถามตนเองว่า ตอนอยู่ที่บ้าน เราทุ่มเทให้เวลากับทางโลกหรือการภาวนามากกว่ากัน ข้าพเจ้ารู้สึกหน้าชา และยอมรับความจริงดังท่านอาจารย์กล่าวสอนและเตือนสติข้าพเจ้าให้ตื่นอีกครั้งว่า เรานี่หนา กิเลสตัณหาไม่จบไม่สิ้น พอภาวนาดีก็เกิดตัณหา อยากได้ เมื่อภาวนาไม่ดีก็ไม่คิดยอมรับเหตุแห่งความไม่เที่ยง แต่ดันไปตีโพยตีพาย ท้อแท้ห่อเหี่ยวใจ เมื่อคิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าก็ฮึดสู้ เพราะจะไปนิพพาน ก็ต้องหนักแน่น เข้มแข็ง ใจที่อ่อนแอ ท้อแท้ ก็จะยิ่งเปิดช่องให้กิเลสมารุม “บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร” อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของการปฏิบัติเตโชวิปัสสนากรรมฐานนั้น ยิ่งใหญ่ หาใดเปรียบ หากเราเพียรจริง ย่อมสำเร็จได้จริง

ชีวิตของข้าพเจ้านับว่า มาไกลมาก จากจุดที่ก่อนจะได้มาเป็นศิษย์ จนถึงได้มาเป็นศิษย์แล้ว เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจชนิดว่าดำเป็นขาวเลยทีเดียว จากผู้ที่หลงโลก หลงบุญ ไม่เคยปักหลักหรือมีวินัยในการภาวนาอย่างจริงจัง ระยะเวลาที่ได้เป็นศิษย์มา 4 ปีกว่า ข้าพเจ้าได้รับการสอนสั่งและขัดเกลาตนอย่างมากมาย จากธรรมคำสอนของท่านอาจารย์ ดั่งคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาว่า “กัลยาณมิตร คือ ทั้งหมดของพรหมจรรย์” ข้าพเจ้าได้พบกัลยาณมิตรผู้ประเสริฐมากมายในสายธรรม เช่น คุณดารณี ที่ได้ ชี้แนะในสิ่งดีงามทางที่เป็นบุญและกุศล ให้ข้าพเจ้ามีหลักในความเพียรมากยิ่งขึ้น และได้ให้โอกาสข้าพเจ้าได้ร่วมกองคาราวานมหาธรรมทาน เดินทางถวายหนังสือ “ฆราวาสบรรลุธรรม” แด่พระภิกษุสงฆ์ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ที่นึกถึงคราใด ก็ปีติใจยิ่งนัก อาจารย์โสภิต อาจารย์นธนา อาจารย์มนัส ผู้แนะนำและให้กำลังใจในการปฏิบัติแก่ข้าพเจ้าเสมอ และอีกมากมายหลายท่าน ที่หากเอ่ยนามและความดีงาม คงบรรยายไม่จบและใช้เนื้อที่หลายบรรทัด แต่ความดีของท่านทั้งหลายนั้น อยู่ในใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง และรู้สึกไม่เคยโดดเดี่ยวในทางธรรม มีกัลยาณมิตรร่วมเส้นทางแห่งธรรมแท้อันเอกอุ อย่างอบอุ่นและห่วงใยเกื้อกูลกันเสมอ

ข้าพเจ้าขอน้อมกราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้ของพระบรมศาสดา น้อมกราบสำนึกในพระคุณอันยิ่งของพระอาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี น้อมกราบสำนึกในความเมตตาและพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ อัจฉราวดี วงศ์สกล พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ข้าพเจ้ารักและเทิดทูนสุดหัวใจ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกภพชาติ และผู้มีพระคุณทุกท่านทุกพระองค์

Kommentare


bottom of page